การวัดผลตอบแทนคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการลงทุนและการทำการตลาด เพราะจะทำให้เราสามารถมองเห็นได้ว่าเงินที่จ่ายไปนั้นสูญเปล่าหรือเกิดประโยชน์มากเพียงใด ธุรกิจที่รู้จักวัดค่าความสำเร็จจะทำให้สามารถเตรียมแผนการรับมือ รวมถึงกลยุทธ์เพื่อพัฒนาธุรกิจต่อไปได้ดียิ่งขึ้น วันนี้บทความของเราจะพาคุณมารู้จักคำว่า ROI และ ROAS ซึ่งเป็นเมตริกในการวัดผลตอบแทน แต่ทั้งสองจะมีความหมายและความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ข้างล่างนี้เรามีคำตอบ
ROI ย่อมาจาก Return on Investment หมายถึง อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน หรือพูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ ‘รายรับที่ได้จากเงินลงทุนที่เสียไป’ เป็นเมตริกที่ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพของการลงทุน เพื่อให้ตัดสินใจได้ว่าการลงทุนนั้น ๆ เกิดความคุ้มค่าหรือไม่ แล้วยังสามารถนำตัวเลขมาเปรียบเทียบความคุ้มค่าของการลงทุนประเภทต่าง ๆ เพื่อช่วยกำหนดทิศทางการลงทุนในอนาคตได้อีกด้วย สามารถคำนวณได้โดยนำกำไรสุทธิมาหารด้วยต้นทุนทั้งหมด เช่น ต้นทุนแรงงาน ต้นทุนการผลิต ต้นทุนโฆษณา ฯลฯ แล้วคูณด้วย 100 ผลลัพธ์ที่ได้จะอยู่ในรูปแบบเปอร์เซ็นต์ (%)
สูตร ROI = (รายได้ทั้งหมด – เงินลงทุนทั้งหมด) / เงินลงทุนทั้งหมด*100
ตัวอย่าง
บริษัท A ต้องการทำแคมเปญโปรโมทสินค้า ใช้ต้นทุนในการจ้าง Influencers และต้นทุนการผลิตไปทั้งหมด 100,000 บาท และแคมเปญนี้สร้างรายได้รวม 400,000 บาท สามารถคำนวณค่า ROI ได้ ดังนี้
ROI = (400,000 – 100,000) / 100,000*100
ROI = 300%
หมายความว่า ในการทำแคมเปญครั้งนี้ บริษัท A สามารถทำกำไรได้ 300%
ROAS ย่อมาจาก Return on ads spending หมายถึง อัตราผลตอบแทนจากการโฆษณา หรือพูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ ‘รายรับที่ได้จากเงินค่าโฆษณาที่เสียไป’ เป็นเมตริกที่ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพของการโฆษณา ทำให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าโฆษณาที่ได้ลงทุนไปนั้นเกิดความคุ้มค่าหรือไม่ สามารถสร้างยอดขายขายให้แก่องค์กรได้มากน้อยแค่ไหน เพื่อเป็นแนวทางแก่ธุรกิจว่าควรตัดสินใจลงทุนเพิ่มเติมหรือควรเปลี่ยนรูปแบบการโฆษณา การคำนวณก็ไม่ยากเลย เพียงแค่นำยอดขายที่ได้จากการโฆษณาแคมเปญนั้นมาหารกับค่าโฆษณาที่จ่ายไป
สูตร ROAS = (ยอดขายจากโฆษณา / ค่าโฆษณาที่ใช้)
ตัวอย่าง
บริษัท B ได้ใช้เงินลงทุนยิง Ads บนแพลตฟอร์มออนไลน์ไปทั้งหมด 15,000 บาท และได้ยอดขายจากการยิง Ads ครั้งนี้รวม 42,000 บาท
ROAS = (42,000 / 15,000)
ROAS = 2.8
หมายความว่า ในการลงทุนยิง Ads ครั้งนี้ บริษัท B สร้างยอดขายได้ 2.8 เท่าของเงินลงทุนที่เสียไป
คำว่า ROI และ ROAS เป็นสิ่งที่หลายคนมักจะเกิดความสับสนในการใช้ได้ง่ายเนื่องจากเป็นเมตริกที่ใช้ในการวัดผลตอบแทนทางการตลาดเหมือนกัน แต่ความเป็นจริงแล้วทั้งสองมีความแตกต่างในการใช้งานที่สำคัญอยู่หลายประการ เราสามารถอธิบายความแตกต่างให้เข้าใจง่าย ๆ ได้ทั้งหมด 7 ข้อ ดังนี้
ROI: ใช้วัดผลตอบแทนจากการลงทุนโดยรวม ประเมินประสิทธิภาพของการลงทุน เป็นสิ่งที่ช่วยชี้วัดว่าเงินที่ใช้ลงทุนนั้นสร้างกำไรได้มากน้อยหรือขาดทุนเพียงใด มองภาพกว้างของการลงทุน
ROAS: ใช้วัดผลตอบแทนจากค่าโฆษณาต่อ 1 แคมเปญ ประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญ ทำให้รู้ว่าเงินที่เสียไปกับการโฆษณาเกิดความคุ้มค่ามากเพียงใด มองผลลัพธ์แค่หนึ่งแคมเปญ
ROI: พิจารณาจากต้นทุนที่ใช้ทั้งหมดในทุกรูปแบบ ต้นทุนครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น
ROAS: พิจารณาจากต้นทุนที่ใช้ในการโฆษณาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ต้นทุนจะต้องเกี่ยวข้องกับการสร้างและเผยแพร่โฆษณา ตัวอย่างเช่น
ROI: สามารถใช้สำหรับวัดผลลัพธ์ของการลงทุนทุกประเภท ตัวอย่างการลงทุนที่ใช้ ROI ในการวัดผลได้ ตัวอย่างเช่น การลงทุนซื้อเครื่องจักร การลงทุนซื้ออาคารสำนักงาน การลงทุนปรับปรุงกระบวนการผลิต และการลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่
ROAS: ใช้สำหรับวัดผลลัพธ์ของการลงทุนด้านการโฆษณาโดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น การลงทุนโฆษณาบนสื่อดิจิทัล การลงทุนโฆษณาบน Google Ads การลงทุนโฆษณาบน Facebook Ads
ROI: คำนวณกำไรสุทธิขององค์กรหลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ทำให้มองเห็นภาพรวมของการลงทุนชัดเจนกว่า
ROAS: คำนวณเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านการโฆษณากับรายได้ที่พึงได้ ผลตอบจะเปรียบเทียบจำนวนเงินที่องค์กรใช้ในการโฆษณากับรายได้เท่านั้น มองเห็นภาพแค่แคมเปญโฆษณาเดียว
ROI: การคำนวณแบบ ROI เป็นเมตริกที่ดีหากต้องการวัดค่าใช้จ่ายด้านการตลาดหรือการโฆษณาเท่านั้น
ROAS: การคำนวณแบบ ROAS เป็นเมตริกที่ดีหากต้องการเปรียบเทียบกับผลตอบแทนจากการลงทุน
ดังนั้น บริษัทจึงควรใช้การวัดค่าแบบ ROAS ควบคู่กับ ROI เพื่อให้ผลการวิเคราะห์มีความน่าเชื่อถือและเพื่อให้เข้าใจภาพรวมของผลกำไรองค์กรได้ดียิ่งขึ้น
ROI: บอกผลลัพธ์ว่าการลงทุนสร้างกำไรหรือไม่ โดยค่า ROI ที่สูงบ่งชี้ว่าการลงทุนนั้นสามารถคืนทุนได้เร็ว และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับบริษัท
ROAS: บอกผลลัพธ์ว่าแคมเปญโฆษณาประสบความสำเร็จหรือไม่ ทำให้รู้ว่ากลยุทธ์การโฆษณาใดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการสร้างยอดขาย โดยค่า ROAS ที่สูงบ่งชี้ว่าการลงทุนด้านการโฆษณานั้นสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้คุ้มค่ากับค่าใช้จ่าย
ROI: บริษัทจำเป็นต้องใช้ผลตอบแทนจากการลงทุนเพื่อช่วยกำหนดทิศทางการใช้เงินของบริษัท ทุกบริษัทล้วนต้องการหาวิธีใช้เงินลงทุนเพื่อเพิ่มกำไร ดังนั้น ROI จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ธุรกิจสามารถมองเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของการลงทุนได้เป็นอย่างดี และช่วยนำไปสู่การปรับปรุงการลงทุนให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
ROAS: ในหลายบริษัทมักมองว่าอัตราผลตอบแทนจากการโฆษณาเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นสำหรับการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากหากผลตอบแทนโฆษณาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี นั่นหมายความว่าสามารถทำให้ผู้ใช้งานเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ได้ดียิ่งขึ้น เกิดการมองเห็นในวงกว้าง เป็นที่จดจำ และสามารถสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นได้ต่อไปในอนาคต
การวัดค่าแบบ ROI (อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน) และการวัดค่าแบบ ROAS (อัตราผลตอบแทนจากการโฆษณา) มีความแตกต่างกันตรงวิธีการคำนวณและวิธีการใช้งาน ในส่วนของ ROI จะเป็นการมองภาพกว้างของการลงทุน ทำให้ทราบรายรับที่ได้รับจากเงินลงทุนที่เสียไป นำไปสู่การปรับปรุงการลงทุนให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น ส่วน ROAS จะใช้วัดผลตอบแทนจากค่าโฆษณา ทำให้ทราบรายรับที่ได้จากเงินค่าโฆษณาที่เสียไป เป็นการประเมินประสิทธิภาพของการโฆษณา ทำให้รู้ว่าเงินที่เสียไปกับการโฆษณาเกิดความคุ้มค่ามากเพียงใด เพื่อเป็นแนวทางแก่ธุรกิจว่าควรตัดสินใจลงทุนเพิ่มเติมหรือควรเปลี่ยนรูปแบบการโฆษณา ทั้งนี้ ถึงแม้การวัดค่าทั้งสองแบบจะมีความแตกต่างกันแต่ก็ล้วนมีความสำคัญต่อการทำธุรกิจทั้งคู่ ควรมีการนำไปใช้ควบคู่กันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการวัดค่าที่แม่นยำและเกิดประโยชน์สูงสุด
หากคุณเป็นธุรกิจที่มีสินค้าหลากหลายหรือมีการยิงโฆษณาพร้อมกันหลายแคมเปญ จะดีกว่าไหมถ้าเราสามารถรู้ได้ว่าโฆษณาตัวไหนที่ทำให้ลูกค้าทักมา? เรามีตัวช่วยที่ดีในการวัดค่า ROAS มาแนะนำ
Oho Chat เป็นระบบรวบรวมแชทจากทุกช่องทางมาไว้ในจอเดียว โดยระบบของเราสามารถติดตามได้ว่าลูกค้าทักแชทของร้านมาผ่านการเห็น Ads ในแคมเปญไหน ธุรกิจของคุณจะวัดประสิทธิภาพของ Ads ได้ง่ายและเกิดความแม่นยำกว่าที่เคย สามารถทราบได้อย่างง่ายดายว่าโฆษณาตัวไหนที่สามารถเข้าถึงและดึงดูดลูกค้าได้มากที่สุด การทำงานของทีม Marketing จะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพราะสามารถนำผลลัพธ์ที่ได้ไปใช้ในการวางแผนการโปรโมทสินค้า สามารถวางแผนได้ว่าควรลดหรือเพิ่ม Ads ตัวไหนเพื่อให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อทีม Content Creator เพื่อวางแผนการทำคอนเทนต์โปรโมทสินค้าให้ลูกค้าเกิดความสนใจอีกด้วย