การเล่นกับ “ใจ” ของลูกค้ากลายมาเป็นกลุยุทธ์ทางการตลาดยุคใหม่ที่ทำให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า จนลูกค้าใหม่ ๆ เหล่านั้นผันตัวกลายมาเป็นสาวกของแบรนด์ สินค้า หรือบริการ หรือที่เรารู้จักกันในคำว่า “Loyal Customers” ผู้ถูกมองว่าเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างรายได้ (Revenues) และความยั่งยืนให้กับธุรกิจ
ต่างจากกลุยุทธ์อื่นๆที่มักจะเล่นกับตัวแปรที่เป็นตัวเลข สถิติ หรือจำนวนต่าง ๆ HEART Marketing จะโฟกัสหลัก ๆ ไปที่การเล่นกับจิตใจ (Mentality) ของลูกค้า ซึ่งจะมีองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ช่วยเกื้อหนุนประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น
และแน่นอนว่าในบล็อคนี้ เราจะมาดูกันว่าการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับลูกค้าจะสามารถเพิ่มยอดขาย สร้างความพึงพอใจ (Customer Satisfaction) และความยั่งยืน (Sustainability) ให้กับธุรกิจต่าง ๆ ได้อย่างไร? โดยผ่านการเล่นกับใจของลูกค้าหรือ “HEART Marketing”
ในยุคที่เทคโนโลยีนั้นกลายมาเป็นปัจจัยสำคัญในการทำการตลาดหรือที่มักจะคุ้นหูกันในชื่อของ Digital Marketing หลายๆธุรกิจนั้นเคยชินกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น จนลืมที่จะคำนึงถึงความเป็นธรรมชาติ (Authenticity) และความเป็นมนุษย์ (Humanity) ซึ่งเป็นปัจจัยที่ลูกค้าทุกคนนั้นคำนึงถึงก่อนที่จะบริโภคสินค้าหรือบริการ
ดังนั้นหลักการคำนึงถึงความเป็นมนุษย์ (Humanization) จึงกลายมาเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่สร้างความเป็นธรรมชาติให้กับการขาย อีกทั้งยังเพิ่มประสบการณ์ที่ดีที่ลูกค้าของเรา (ซึ่งส่วนมากเป็น มนุษย์) ล้วนแล้วแต่คาดหวังในยุคดิจิทัล (Digital Era)
1. รับรู้ปัญหาหรือความกังวลที่แท้จริงของลูกค้า
แน่นอนว่าทุกสินค้าล้วนมีที่มา ทุกการบริการล้วนมีเหตุผล แทนที่เราจะเน้นแต่การโฆษณาหรือชูข้อดีต่าง ๆ นา ๆ ของสินค้าของบริการ แต่ก็มีหลาย ๆ ครั้งที่ลูกค้านั้นตัดสินใจที่จะซื้อสินค้าหรือบริการผ่านเรื่องราวหรือที่มาของธุรกิจ
ตัวอย่างเช่น ร้านโอ้กะจู๋ (Ohkajhu)
เรื่องราว (Story) : “From Farm To Table“ บอกเล่าเรื่องราวที่มาของวัตถุดิบเพื่อสร้างความเชื่อมโยงและคุณค่าให้กับอาหารทุก ๆ จานที่ขายในร้าน
จึงไม่เป็นที่แปลกใจว่า ถึงแม้ราคาของอาหารในร้านนั้นจะมีราคาค่อนข้างสูงกว่าราคาในท้องตลาด แต่ลูกค้าก็ตัดสินใจซื้อได้อย่างไม่ยาก เพราะด้วยเรื่องราวที่เล่าถึงขั้นตอน ที่มา และกระบวนการผลิต อย่างลึกซึ้งกินใจ ลูกค้าจึงยอมที่จะควักเงินในกระเป๋า เพื่อที่จะจ่ายให้กับเรื่องราวที่มีสะท้อนถึงคุณค่าของอาหารแต่ละจานโดยอย่างง่ายดาย
2. ปรับให้เข้ากับแต่ละบุคคล (Personalization)
ลูกค้าทุกคนล้วนแต่อยากที่จะเป็นบุคคลสำคัญ ดังนั้นการปรับสินค้าหรือบริการให้เข้ากับแต่ละบุคคลนั้น (Personalization) จึงเป็นกลยุทธ์ที่เฉียบขาดในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับเหล่าลูกค้า อีกทั้งยังเป็นการสร้างความพึงพอใจไปอีกระดับจนสามารถเปลี่ยนสถานะของลูกค้าได้ จากลูกค้าใหม่ (New Customers) สู่การเป็นลูกค้าประจำ (Loyal Customers)
ตัวอย่างเช่นร้านปังป๊า
ตามใจเธอ (Personalization) : “อยากกินแค่ไหน ก็ใส่แค่นั้น” หลาย ๆ ครั้งที่ลูกค้าต้องนั่งเขี่ยหรือแยกสิ่งที่ตัวเองไม่รับประทานออกจากจาน ซึ่งเสียทั้งเวลาและอารมณ์ ดังนั้นร้านปังป๊าจึงมีไอเดียใหม่ ๆ ในการสร้างเมนูขึ้นมา ซึ่งสามารถให้ลูกค้าเลือกแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการได้ตามใจชอบ โดยการติ๊กตามช่องวัตถุดิบที่เราอยากรับประทาน
เห็นได้ชัดว่า การปรับให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าแต่ละบุคคลจึงการเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าตัวเองนั้นมีอำนาจหรือเป็นผู้ควบคุมความต้องการของตัวเองอย่างเต็มรูปแบบ
Empathy กลายมาเป็นคำยอดฮิตที่ถูกพูดถึงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และมีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจความหมายของคำ ๆ นี้อย่างคลาดเคลื่อนไปบ้าง ดังนั้นเรามาตีความคำนี้กันอย่างลึกซึ้งกันเถอะ เพื่อให้ทุกคนสามารถทำความเข้าใจกับคำ ๆ นี้ได้ดีมากยิ่งขึ้น เพื่อนำไปประยุกต์ใช้อย่างถูกต้อง
จากนิยามของคำนี้ในภาษาอังกฤษที่ว่า “Put Yourself In Somebody Else’s Shoes” หรือ “จงเอาตัวเรา เข้าไปอยู่ในรองเท้าของเขา” ซึ่งถ้าตีความจากคำแปลเราจะเห็นว่า การที่เราใส่รองเท้าของคนอื่น ไซส์ สไตล์ หรือความสะดวกสะบาย ก็อาจจะแตกต่างกันออกไปจากการใส่รองเท้าของตัวเอง ซึ่งนั่นก็จะทำให้เราเข้าใจอย่างถ่องแท้ ถึงอุปสรรคหรือความยากลำบากต่าง ๆ ที่คน ๆ นั้นจะต้องพบเจอ ซึ่งนั่นก็จะทำให้เราเข้าใจสถานภาพ สภาพสิ่งแวดล้อม และ ตัวแปรต่าง ๆ ที่คน ๆ นึงจะต้องเผชิญ “โดยไม่นำความคิดเห็นของเราไปตัดสิน”
จึงไม่แปลกใจว่าทำไมภาคธุรกิจประยุกต์ใช้คำ ๆ นี้และปลูกฝังบุคคลากรในองค์กรให้มี Emphaty ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับลูกค้า และเป็นผลมาจากการที่เราสามารถเข้าใจความต้องการหรือ Pain Points ของลูกค้าได้อย่างแท้จริง มันจึงทำให้ลูกค้ามีความประทับใจและความเชื่อมั่นในตัวองค์กรและพร้อมที่จะกลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการใหม่เมื่อมีความอยาก (Wants) หรือความต้องการ (Needs)
1. แบ่งปันเรื่องราวหรือที่มาของธุรกิจ สินค้า หรือบริการ (Acknowledgement)
เมื่อใดที่ลูกค้าอาจจะแสดงสัญญาณต่างๆถึงความไม่สบายใจไม่ว่าจะเป็นภาษากาย หรือ คำพูดต่าง ๆ เมื่อนั้นสิ่งที่เราในฐานะของตัวแทนผู้ซึ่งเป็นประตูด่านแรกที่แสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ขององค์กร “ควรจะต้องแสดงถึงการับรู้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกค้าโดยทันที” เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับความเอาใจใส่และรู้สึกว่าไม่ว่าปัญหานั้นจะเล็กน้อยหรือใหญ่มากสักแค่ไหน แต่องค์กรก็ให้ความสำคัญกับพวกเขาได้อย่างทันท่วงที
2. ฟังด้วยใจ ไม่มีพลาด (Active Listening)
เมื่อเริ่มรับรู้ถึงความกังวล ขั้นตอนต่อมาที่สำคัญไม่แพ้กันนั้นก็คือ การฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening) ซึ่งเป็นทักษะที่ดูเหมือนจะซึมซับกันได้ง่าย แต่จริง ๆ แล้ว Active Listening ถูกนับว่าเป็นทักษะที่หลาย ๆ องค์กรนั้นขาดแคลนมากที่สุด ดังนั้นการฟังอย่างตั้งใจจึงต้องมี “ความจดจ่อ หรือ Concentration” สูง เพราะในหลาย ๆ ครั้งที่ลูกค้าอาจจะเล่าเรื่องราวความกังวล ซึ่งอาจจะขาดรายละเอียดต่าง ๆ ของปัญหาที่แท้จริง สิ่งที่เราสามารถทำได้นั่นก็คือ “การพูดชี้จุด เพื่อเน้นยำอีกรอบถึงปัญหาหรือความกังวลที่เกิดขึ้น” เพื่อการแก้ไขหรือพัฒนาต่อไป ดังนั้น Active Listening จึงไม่ใช่แค่การฟัง แต่เป็นการฟังอย่างตั้งใจเพื่อให้เราสามารถชี้จุดให้เห็นถึงปัญหาที่แท้จริง
3. มองจากมุมเขา ไม่ใช่มุมเรา (Customer’s Perspective)
ขั้นตอนนี้สร้างได้ไม่ยาก เริ่มจากการที่เราลอง “จินตนาการว่าตัวเองเป็นลูกค้า” เพื่อให้เราสามารถเข้าใจมุมมองหรือประสบการณ์ที่มาจากผู้ใช้งานจริงซึ่งจะสามารถเป็นการชี้ให้เห็นถึงจุดบกพร่องของตัวสินค้าหรือบริการได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ
และอีกหนึ่งวิธีที่สามารถทำให้เราสามารถมองจากมุมของลูกค้าให้ดีมากยิ่งขึ้นโดยไม่มี “อคติ” นั่นก็คือการ “การหาเพื่อนหรือคนรู้จัก ที่ไม่เคยใช้ผลิตภัณฑ์” ซึ่งเป็นวิธีการที่สามารถทำให้เราเข้าใจถึงปัญหาได้อย่างลึกซึ้งโดยไม่มีอคติอีกด้วย
อีกหนึ่งคำคัพท์ภาษาอังกฤษที่มักจะได้ยินบ่อยจนติดหูไม่แพ้คำว่า Empathy นั่นก็คือคำว่า “Agility” ถ้าเริ่มทำความเข้าใจง่ายๆจากการแปลความหมายคำ ๆ นี้นั้นหมายความว่า ความคล่องแคล่วว่องไว หรือ ความกระฉับกระเฉง และเมื่อตีความคำนี้ให้สอดคล้องกับบริบทของภาคธุรกิจให้มากยิ่งขึ้น Agility ก็คือ ศักยภาพหรือความสามารถของบุคคลากรหรือองค์กรในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ดังนั้นเมื่อประยุกต์ใช้ทักษะนี้กับการสร้างความพึงพอใจ (Satisfaction) ให้กับลูกค้าผ่านการสร้างประสบการณ์ (Experience) เราจะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการหรือธุรกิจควรมีความพร้อมที่จะตอบสนองความต้องการและทิศทางการบริโภคที่เปลี่ยนไปของลูกค้าอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะสามารถคิดค้นหรือสร้างการตลาดที่สามารถจับใจพวกเขาได้
1. ประเมินสถานการณ์อย่างทันท่วงที (Real-Time Monitoring)
การประเมินสถานภาพของตลาดอยู่ตลอดเวลาถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่นิยมอย่างมากไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่หรือเล็ก เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคนั้นแปรผันอย่างรวดเร็วซึ่งมาจากการใช้สื่อ Social Media ที่มากขึ้นในการใช้ชีวิตประจำวัน การที่องค์กรหรือธุรกิจมีแผนกที่สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคหรือสถานภาพทางเศรษฐกิจในขณะนั้น นับว่าเป็นแต้มต่อที่สามารถทำให้ธุรกิจนั้นมีความพร้อมที่จะปรับตัวอยู่ทุกเมื่อ
2. A/B Testing
การทดสอบแต่ละกลยุทธ์และเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแต่ละวิธีเป็นอีกหนึ่งวิธีการสร้าง Agility ที่ชัดเจนและเห็นผลลัพธ์มากที่สุด เนื่องจากเราจะสามารถวัดค่า KPI ต่างๆของแต่ละกลยุทธ์ (Strategy) พร้อมทำการเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่ได้จากแต่ละวิธี ซึ่งทำให้เราสามารถเลือกใช้แค่วิธีการที่ “ดีที่สุด” เพื่อเป็นการประหยัดทรัพยากรอื่น ๆ ที่จะตามมาอีกด้วย เพราะว่าสุดท้ายแล้วทุกคนก็อยากลงทุนกับสิ่งที่ดีที่สุด
3. โต้ตอบให้ไว ไม่จำเป็นต้องรอ (Rapid Response)
ในหลาย ๆ ครั้งที่เมื่อมีวิกฤต (Crisis) เกิดขึ้นกับองค์กร ตัวสินค้าหรือบริการ สิ่งที่หลาย ๆ องค์กรมักจะนึกถึงเป็นสิ่งแรกคือ “การเพิกเฉย“ หรือ “การปล่อยเลยตามเลย“ ซึ่งถือว่าเป็นกลยุทธ์ยอดฮิตที่สามารถพบเห็นได้บ่อย ๆ อย่างไรก็ตามการเพิกเฉยต่อวิกฤตที่เกิดขึ้นถือเป็นการแสดงถึงการความไร้ความรับผิดชอบต่อสังคม (Lack of Social Responsibilty) ขององค์กรอีกทั้งยังนับว่าเป็นจุดอ่อนที่คู่แข่งขันทางธุรกิจสามารถหยิบยกไปเป็นข้อครหาหรือโจมตีได้
ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดเมื่อองค์กรต้องเผชิญกับวิกฤตที่เกิดขึ้นขณะนั้นในตลาดนั่นก็คือ “การโต้ตอบ อย่างฉับพลัน“ เพื่อเป็นตัวแทนของความใส่ใจในตัวลูกค้าอีกทั้งยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมอีกด้วย
การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สร้างประสบการณ์ระยะยาวที่มีความยั่งยืนให้กับลูกค้า ซึ่งหลาย ๆ องค์กรต่างก็มีความตั้งใจที่จะพัฒนาสิ่งนี้ และแน่นอนเลยว่าการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้านั้นเป็นตัวแปรสำคัญที่ใช้ในการนิยามธุรกิจที่ “ประสบความสำเร็จ”
หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินคำว่า “Loyalty Program” และมากไปกว่านั้นอีกหลาย ๆ คนที่มีความเชื่อมั่นและเชื่อใจในสินค้าหรือบริการหนึ่งมาก ๆ ก็คงเป็นกลุ่มเป้าหมายชั้นดีของ Loyalty Program อีกด้วย แน่นอนเลยว่าคำว่า “Loyalty” นั้นแปลว่า ความภักดี ซึ่งมีความหมายลึกซึ้งมากกว่าคำว่า “Honesty” หรือ ความซื่อสัตย์ด้วยซ้ำ นั่นแปลว่า Loyalty Program เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ถูกสร้างมาเพื่อทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความเชื่อใจที่มากถึงระดับที่ลูกค้านั้นก่อเกิดความศรัทธาในตัวแบรนด์จนสมัครเป็นสมาชิกผู้มีความภักดีต่อสินค้าหรือบริการนั่นเอง
Loyalty Program ชนิดต่างๆ
ตัวอย่างเช่น
ซึ่งโปรแกรมการสมัครสมาชิกเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นวิธีการสร้างและรักษาความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีคือ หนึ่งในวิธีการที่ทำให้บริษัทต่าง ๆ นั้นมีความร่วมสมัยและก้าวหน้าทางนวัตกรรม (Innovative) มากขึ้น หลาย ๆ คนคิดว่ามีแต่การให้บริการโดยมนุษย์เท่านั้นที่สามารถสร้างความพึงพอใจที่มากขึ้นและเพิ่มความเชื่อมั่น (Loyalty) ให้กับแบรนด์หรืองค์กรได้ แต่อันที่จริงแล้วมีหลายเหตุการณ์มาก ๆ ที่เทคโนโลยีกลายมาเป็นหัวใจหลักของการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Siri หรือที่รู้จักกันในนาม “นางแบก Apple” นับว่าเป็นหนึ่งในตัวอย่างของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด Siri นั้นเป็นที่จดจำของลูกค้า Apple แทบทุกคนและแน่นอนว่าหลาย ๆ คนมอง Siri ว่าเป็นมากกว่าเพื่อนซะอีก นี่จึงถือเป็นเคสที่ชัดเจนมาก ๆ ของการใช้เทคโนโลยีในการสร้างการตลาดที่สามารถเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า
1. วิเคราะห์ข้อมูลให้เฉียบขาด (Data Analytics)
Data Analytics กลายมาเป็นเครื่องมือทางธุรกิจที่สร้างจุดเปลี่ยนให้ธุรกิจอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจไหนการวิเคราะห์ข้อมูลถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากในการต่อยอดการพัฒนาสินค้าหรือบริการ เนื่องจากเราจะสามารถนำข้อมูลเชิงปริมาณมาใช้ในการประเมินศักยภาพภาคส่วนต่าง ๆ ของธุรกิจ ซึ่งก็รวมถึงการทำการตลาดที่สามารถเจาะใจลูกค้าด้วยเช่นกัน
นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมหลาย ๆ องค์กรกล้าที่จะลงทุนมหาศาลกับการสร้างระบบวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics System) ที่มีประสิทธิภาพมากซะจนกระทั่งสามารถเพิ่มยอดขายสินค้าหรือบริการให้มากขึ้นเป็นเท่าตัวอีกด้วย
Data Analytics Tools ยอดฮิต 2023
2. AI ทำได้ ง่ายนิดเดียว (AI-Powered Personalization)
AI หรือ Artificial Intelligence คือนวัตกรรมที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในศตวรรษที่ 21 แต่อันที่จริงแล้ว AI นั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปี 1950s แล้วซึ่งมันหมายถึง “การจำลองความชาญฉลาดของมนุษย์โดยเครื่องจักรหรือซอฟแวร์” อย่างไรก็ตามคำ ๆ นี้ยังคงเป็นที่คลุมเคลือของคนบางกลุ่มซึ่งทำให้เกิดการมองข้ามศักยภาพของมัน และเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจเราลองมาดูตัวอย่างของ AI กันหน่อยดีกว่า
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า AI นั้นอยู่รอบตัวเราและแทบจะทุกอย่างที่เราต้องพบเจอในชีวิตประจำวันล้วนแล้วแต่เป็น AI
3. ตอบแชทได้ไว ไม่ต้องให้ลูกค้ารอ (Chatbot & Automation)
เคยรู้สึกงงไหม ว่าทำไมแบรนด์นี้ตอบกลับข้อความเราไวจัง? ในความเป็นจริงแล้วบุคคลที่ให้บริการและความช่วยเหลือเราอาจจะไม่ใช่คนก็ได้ บางคนอ่านแล้วอาจจะเริ่มรู้สึกกลัว ๆ แต่ไม่ต้องกลัวไปเพราะสิ่งนั้นเรียกว่า Chatbot ซึ่งเป็นระบบอัตโนมัติหรือ Automation นั่นเอง
นอกจากนี้การใช้แชทบอท (Chatbot) กลายมาเป็นเครื่องมือที่สร้างยอดขายให้หลาย ๆ ธุรกิจได้อย่างมหัศจรรย์ ในหลาย ๆ ครั้งที่ลูกค้าทักมายามดึกซึ่งส่วนมาก็จะเป็นเวลาหลังเลิกงานแล้วด้วย อย่างไรก็ตามนั่นอาจจะเป็นช่วงเวลาที่ลูกค้ารู้สึกอยากที่จะใช้เงินมากที่สุดก็ได้ ดังนั้นการมี Chatbot จึงถือเป็นเครื่องมือที่ไม่เพียงแต่จะสร้างยอดขาย แต่ยังสามารถเป็นเครื่องมือที่เพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานให้กับพนักงาน และในท้ายที่สุดความพึงพอใจก็จะเกิดขึ้นกับลูกค้าอีกด้วย
ตัวอย่างของ Chatbot
Oho ลูกค้าไม่ต้องรอ! ตอบด้วยแชทบอท ตลอด 24 ชั่วโมง สร้างได้เองง่าย ๆ แอดมินทำงานสลับไปมากับบอทได้ตลอดเวลา แก้บอทที่เดียวใช้ได้ทุกช่องทาง
ดังนั้น HEART Marketing จึงกลายมาเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยทางการตลาดที่จะไม่ได้ช่วยเพิ่มแค่ความพึงพอใจของลูกค้าแต่ยังสามารถเพิ่มความเชื่อมั่นที่ยังยืนในตัวสินค้าหรือบริการได้อีกด้วย
ประยุกต์ HEART Marketing ง่ายๆอย่างไรให้ปัง ดังนั้น ตัวช่วยที่จะทำให้ธุรกิจสามารถเพิ่มความพึงพอใจได้อย่างตรงจุดและฉับพลันนั้นก็คือ Ohochat ซึ่งเป็นระบบจัดการแชทของลูกค้า ที่รวบรวมทุกปัจจัยสำคัญไม่ว่าจะเป็น Chat, Chatbot Contact, Dashboard และ Case ไว้ในที่เดียว ซึ่งจะกำจัดทุกปัญหาเรื้อรังของผู้ประกอบการและพนักงานทุกคนออกไปได้อย่างหมดจด จนสามารถยกระดับ ความพึงพอใจ (Satisfaction) ของคุณได้ถึงระดับที่สามารถเปลี่ยน New Customers เป็น Loyal Customers ได้อย่างง่ายดายนั้นเอง
สุดท้ายนี้ OhoChat คือทางออกของปัญหาไม่ว่าจะ ประสบการณ์รูปแบบใด เราตอบโจทย์ให้คุณได้ทุกอย่าง สามารถทดลองใช้ได้ฟรี 14 วัน
บทความที่น่าสนใจอื่นๆ:
10 ตัวย่อคำศัพท์ที่ชาวทีมขายต้องรู้
เคล็ดลับการใช้ BCG Matrix วิเคราะห์ธุรกิจ ที่ชาว Digital Marketing ต้องรู้
Oho Chat x Yournextu เคล็ดลับพัฒนา Customer Experience ของแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ชื่อดัง