Sales Funnel vs. Sales Pipeline ต่างกันอย่างไร? เข้าใจให้ชัดก่อนใช้ให้ถูก

ในการบริหารงานขาย มีสองแนวคิดสำคัญที่ถูกพูดถึงบ่อย ๆ คือ Sales Funnel (กรวยการขาย) และ Sales Pipeline (กระบวนการขาย) แม้จะเกี่ยวข้องกับการขายเหมือนกัน แต่ทั้งสองแนวคิดนี้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน

• Sales Funnel มุ่งเน้นที่การเปลี่ยนผู้สนใจ (Lead) ให้กลายเป็นลูกค้า
• Sales Pipeline เป็นกระบวนการภายในทีมขายที่ช่วยให้ทีมบริหารงานขายเป็นระบบ

บทความนี้จะอธิบายความหมายของทั้งสองแนวคิด เปรียบเทียบข้อแตกต่าง และแนวทางการใช้งานที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณ

‍

Sales Funnel คืออะไร?

Sales Funnel คือกระบวนการที่ช่วยให้ธุรกิจเปลี่ยนลูกค้าเป้าหมายให้กลายเป็นลูกค้าจริง โดยมีลักษณะเป็น “กรวย” ที่แสดงการเดินทางของลูกค้าตั้งแต่เริ่มรู้จักแบรนด์ไปจนถึงการตัดสินใจซื้อ ในแต่ละขั้นตอนของ Sales Funnel จะช่วยคัดกรองลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อออกจากกลุ่มคนจำนวนมากได้ ทำให้ธุรกิจมองเห็นว่า ลูกค้าแต่ละคนอยู่ในขั้นตอนไหน และควรมีการวางแผนการตลาดอย่างไรเพื่อเปลี่ยนลูกค้าที่เริ่มสนใจให้ขยับไปสู่การซื้อจริง‍

4 ขั้นตอนหลักของ Sales Funnel

1. Awareness (การรับรู้) คือ ลูกค้าเริ่มรู้จักแบรนด์จากโฆษณา คอนเทนต์ หรือการบอกต่อ
2. Interest (ความสนใจ) คือ ลูกค้าเริ่มสนใจสินค้าหรือบริการ และอาจเริ่มค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม
3. Decision (การตัดสินใจ) คือ ลูกค้าเปรียบเทียบทางเลือก และเริ่มพิจารณาว่าจะซื้อหรือไม่
4. Action (การซื้อจริง) คือ ลูกค้าตัดสินใจซื้อ และกลายเป็นลูกค้าของธุรกิจ

ตัวอย่างการใช้งานจริง

ตัวอย่างการใช้งานสำหรับธุรกิจร้านค้าออนไลน์

• Awareness – ลูกค้าเห็นโฆษณา Facebook
• Interest – เข้าเว็บไซต์และอ่านรีวิวสินค้า
• Decision – กดดูโปรโมชั่นและใส่สินค้าในตะกร้า
• Action – ชำระเงินและสั่งซื้อสินค้า

‍

Sales Pipeline คืออะไร?

Sales Pipeline เป็นกระบวนการที่ทีมขายใช้เพื่อติดตามและบริหารงานขายให้เป็นระบบ โดยเน้นที่ การทำงานของนักขาย ตั้งแต่การติดต่อไปจนถึงการปิดการขาย ซึ่งแต่ละธุรกิจอาจมีขั้นตอนใน Sales Pipeline ที่แตกต่างกัน การใช้ Sales Pipeline ร่วมกับ Sales Funnel จะช่วยให้ทีมขายรู้ได้ในทันทีว่า ลูกค้าที่อยู่ในแต่ละขั้นตอนของ Sales Funnel จะต้องใช้กลยุทธ์หรือการเข้าแบบวิธีใดเพื่อปิดการขาย

ตัวอย่างขั้นตอนของ Sales Pipeline

1. Lead Generation (หาลูกค้าเป้าหมาย) – นักขายหาลูกค้าผ่านโฆษณา, Cold Call หรือ Social Media
2. Lead Qualification (คัดกรองลูกค้า) – วิเคราะห์ว่าลูกค้ามีโอกาสปิดการขายหรือไม่
3. Proposal & Negotiation (นำเสนอและเจรจา) – เสนอราคา แพ็กเกจ และเจรจาต่อรอง
4. Closing (ปิดการขาย) – ลูกค้าตกลงซื้อ และดำเนินการทำสัญญาหรือชำระเงิน
5. Follow-up & Retention (ติดตามผลและรักษาลูกค้า) – ดูแลลูกค้าเพื่อเพิ่มโอกาสซื้อซ้ำ

ตัวอย่างการใช้งานจริง

ตัวอย่างการใช้งานสำหรับธุรกิจ B2B

• Lead Generation – ทีมขายได้รับข้อมูล Lead จากเว็บไซต์
• Lead Qualification – นักขายโทรคุยเพื่อทำความเข้าใจความต้องการ
• Proposal & Negotiation  – เสนอราคาและเงื่อนไขการขาย
• Closing & Follow-up – ติดตามลูกค้าและปิดดีล

‍

Sales Funnel vs. Sales Pipeline แตกต่างกันอย่างไร?

สรุปสั้น ๆ:

• Sales Funnel = การเดินทางของลูกค้า (Customer Journey)
• Sales Pipeline = กระบวนการขายที่ทีมขายใช้ติดตามลูกค้า

‍

ธุรกิจควรใช้ Sales Funnel หรือ Sales Pipeline?

ทั้งสองแนวคิดนี้สามารถใช้ร่วมกันได้ ใน 1 ธุรกิจ ควรมีทั้ง Sales Funnel ที่ช่วยดึงลูกค้า และ Sales Pipeline ที่ช่วยให้ทีมขายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

1️⃣ ใช้ Sales Funnel ถ้า...

• ต้องการสร้างแบรนด์และดึงดูดลูกค้าใหม่
• ต้องการเพิ่ม Conversion Rate
• ใช้ Digital Marketing และโฆษณาเป็นเครื่องมือหลัก

2️⃣ ใช้ Sales Pipeline ถ้า...

• มีทีมขายที่ต้องติดตามดีลจำนวนมาก
• ต้องการให้ทีมขายมีโครงสร้างที่ชัดเจน
• เน้นการขายที่ต้องใช้การเจรจา เช่น B2B

กรณีที่ดีที่สุด 👉 ใช้ Sales Funnel + Sales Pipeline ควบคู่กันเพื่อสร้างกระบวนการขายที่สมบูรณ์

‍

Oho Chat ช่วยให้ธุรกิจบริหาร Sales Funnel & Sales Pipeline ได้อย่างไร?

Oho Chat เป็นระบบจัดการแชท ที่ช่วยให้ทีมขายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยฟีเจอร์ที่รองรับทั้ง Sales Funnel และ Sales Pipeline เช่น

✅ การรวมแชท – ฟีเจอร์รวมแชทรองรับลูกค้าใหม่จากหลายช่องทาง เช่น Facebook, LINE, Instagram, TikTok

✅ การติดตามและคัดกรอง Lead – ฟีเจอร์รายชื่อ (CRM) ติดแท็กแบ่งกลุ่มลูกค้า และเก็บข้อมูลลูกค้าได้ครบถ้วน โดยข้อมูลลูกค้าจะถูกเชื่อมต่อแชท ดูข้อมูลแล้วทักแชทต่อได้เลยทันที

✅ AI วิเคราะห์โอกาสปิดการขาย – ประเมินโอกาสสำเร็จของแต่ละดีล

✅ การจัดการ Pipeline – ติดตามดีลและกระบวนการขายแบบเรียลไทม์

✅ การแจ้งเตือนอัตโนมัติ – เตือนนักขายให้ติดตามลูกค้า ไม่พลาดโอกาสปิดการขาย

Oho Chat ยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมากมายที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแชทของคุณ
ตั้งแต่ แชทบอท (Chat Bot),   แดชบอร์ดวัดผล (Dashboard),  ส่งแชทอัตโนมัติ (Auto assign) , ติดตามเคสลูกค้า (Case), บรอดแคสต์ (Broadcast), คลังสื่อคลังคำตอบ และ บทบาทสมาชิกและทีม

‍

ทดลองใช้ฟรี 14 วันเลย

ให้ Oho Chat ช่วยคุณจัดการแชทอย่างมืออาชีพ พร้อมเพิ่มโอกาสเติบโตให้ธุรกิจคุณ สมัครใช้งานฟรีวันนี้ ไม่มีค่าใช้จ่ายและไม่ต้องผูกบัตรเครดิต มีทีมซัพพอร์ตคอยให้การดูแล คลิกเลย! 👉 ทดลองใช้ฟรี

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดสาธิตการใช้งาน

สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดเดโมกับทีมซัพพอร์ตของเราได้ผ่านช่องทาง

• LINE ID: @ohochat
• Facebook: Oho chat ระบบจัดการแชทบริการลูกค้า
• Email: hello@oho.chat

ทักเลย! มั่นใจว่าตอบไว เพราะเราก็ใช้ Oho Chat

‍